การจัดฟันเด็กจำเป็นหรือไม่และต้องทำยังไงก่อนเข้าการจัดฟัน ?คำถามนี้เป็นคำถามสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบอย่างยิ่งค่ะ เพราะการจัดฟันในเด็กไม่ได้มีวัตถุประสงค์เดียวกับผู้ใหญ่ แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากช่วงวัยที่ร่างกายกำลังเติบโต
คำตอบโดยละเอียดเกี่ยวกับความจำเป็นและขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการจัดฟันในเด็กค่ะ:
1. การจัดฟันในเด็ก จำเป็นหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็นสำหรับเด็กทุกคน แต่การจัดฟันในระยะเริ่มต้น (Phase I Orthodontics) นั้น จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่มีปัญหาโครงสร้างบางอย่าง เพื่อป้องกันปัญหาที่รุนแรงกว่าในอนาคต
ความจำเป็นในการจัดฟันเด็กถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก:
A. 🎯 จำเป็นมาก (ต้องแก้ไขก่อนโต)
การรักษาในช่วงอายุประมาณ 7-10 ปี (Phase I) มีความจำเป็นอย่างยิ่งในกรณีที่:
ปัญหาขากรรไกรผิดปกติอย่างรุนแรง: เช่น ขากรรไกรบนแคบเกินไป (Posterior Crossbite), ขากรรไกรล่างยื่นคร่อมฟันบน (Underbite) การแก้ไขด้วยเครื่องมือขยายขากรรไกรในวัยเด็กทำได้ง่ายและได้ผลดีกว่าการรอจนโต ซึ่งอาจต้องผ่าตัด
ขาดพื้นที่ให้ฟันแท้: มีภาวะฟันซ้อนเกรุนแรงมาก หรือมีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับฟันแท้ที่กำลังจะขึ้น การจัดฟันจะช่วยสร้างพื้นที่ ลดความเสี่ยงในการต้องถอนฟันหลายซี่ในอนาคต
นิสัยที่เป็นอันตรายต่อฟัน: เช่น การดูดนิ้ว, การดันลิ้น, การหายใจทางปาก หากปล่อยไว้จะทำให้ฟันยื่นหรือฟันสบผิดปกติอย่างถาวร เครื่องมือจัดฟัน เช่น EF Line จะช่วยปรับแก้นิสัยเหล่านี้
B. ⚠️ อาจยังไม่จำเป็นต้องทำในทันที (รอประเมิน Phase II)
หากมีเพียงปัญหาฟันซ้อนเกเล็กน้อย หรือฟันห่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างขากรรไกร ทันตแพทย์อาจแนะนำให้รอจนกว่าฟันแท้จะขึ้นครบก่อน (อายุ 12-14 ปี) แล้วจึงเริ่ม การจัดฟันระยะที่ 2 (Phase II) เพื่อจัดเรียงฟันให้เข้าที่สมบูรณ์
2. ต้องทำอย่างไรก่อนเข้ารับการจัดฟัน?
การเตรียมตัวก่อนเริ่มการรักษาเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน:
ขั้นตอนที่ 1: การปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทาง (The Initial Visit)
พบทันตแพทย์จัดฟันเฉพาะทาง: ไม่ควรปรึกษาทันตแพทย์ทั่วไป แต่ควรปรึกษาทันตแพทย์ที่มีวุฒิบัตรเฉพาะทางด้านการจัดฟัน (Orthodontist) เพราะพวกเขามีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยปัญหาโครงสร้างในเด็ก
ช่วงอายุที่แนะนำ: ควรพาเด็กมาปรึกษาครั้งแรกเมื่อ อายุประมาณ 7 ขวบ แม้ว่าจะยังไม่จำเป็นต้องจัดฟันในทันที แต่แพทย์จะสามารถประเมินโครงสร้างและวางแผนล่วงหน้าได้
ขั้นตอนที่ 2: การเก็บข้อมูลเพื่อการวินิจฉัย (Diagnosis Records)
เมื่อตัดสินใจเริ่มการจัดฟันแล้ว ทันตแพทย์จะทำการเก็บข้อมูลเพื่อวางแผนการรักษาที่แม่นยำที่สุด:
ถ่ายภาพรังสี (X-Ray): เพื่อดูสภาพรากฟัน, ฟันแท้ที่กำลังจะขึ้น, และโครงสร้างกระดูกขากรรไกร
พิมพ์ปาก/สแกนฟัน: เพื่อสร้างแบบจำลองฟันของเด็ก (Model) สำหรับการวิเคราะห์ขนาดฟันและขากรรไกร
ถ่ายรูป: ถ่ายรูปใบหน้าด้านหน้าและด้านข้าง รวมถึงรูปภายในช่องปาก เพื่อประเมินความสัมพันธ์กับความสวยงามของใบหน้า
ขั้นตอนที่ 3: การเตรียมสุขภาพช่องปาก
การจัดฟันจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อช่องปากของเด็กอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด:
อุดฟันและถอนฟันที่จำเป็น: ฟันที่มีปัญหาผุจะต้องได้รับการอุดให้เรียบร้อยก่อนเสมอ หากจำเป็นต้องถอนฟันน้ำนมเพื่อให้ฟันแท้ขึ้น ทันตแพทย์จะดำเนินการในขั้นตอนนี้
รักษาโรคเหงือก: หากมีอาการเหงือกอักเสบ ทันตแพทย์จะแนะนำให้ขูดหินปูนและสอนการดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดีก่อนเริ่มติดเครื่องมือ
ขั้นตอนที่ 4: การเตรียมความพร้อมทางจิตใจและวินัย
ผู้ปกครองทำความเข้าใจแผนการรักษา: ทราบว่าลูกจะต้องใส่อุปกรณ์อะไร (เช่น EF Line, เครื่องมือขยายขากรรไกร), ต้องใส่บ่อยแค่ไหน, และใช้เวลานานเท่าใด
การเตรียมเด็ก: อธิบายให้เด็กทราบถึงความสำคัญของการจัดฟัน, ความรู้สึกที่ไม่สบายในช่วงแรก, และ วินัย ที่ต้องมีในการดูแลความสะอาด (สำคัญที่สุด) รวมถึงการหลีกเลี่ยงอาหารต้องห้ามตลอดช่วงการรักษาค่ะ